Skip links

ช่วยเหลือผู้เรียนและสอนศาสนา หนึ่งในหนทางเพิ่มพูนริซกี

ช่วยเหลือผู้เรียนและสอนศาสนา หนึ่งในหนทางเพิ่มพูนริซกี

ในหะดีษที่บันทึกโดยติรมิซีและหากิม จากอนัส อิบนุ มาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่าว่า “มีพี่น้องคู่หนึ่งในสมัยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คนหนึ่งจะมาหาท่านนบี (เพื่อเรียนรู้ศาสนา) ขณะที่อีกคนออกไปหาปัจจัยยังชีพ ซึ่งคนที่ออกไปทำงานได้มาปรารภกับท่านนบีถึงพฤติกรรมของพี่น้องของเขาที่ไม่ได้ทำงาน ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าวว่า ‘เป็นไปได้ว่าที่ท่านได้รับริซกีนั้นก็เพราะเขา’”

ในอีกรายงานหนึ่ง คนที่ไปทำงานได้กล่าวว่า “โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮ์ ! พี่น้องของผมไม่ช่วยทำมาหากินเลย!” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงตอบว่า ‘เป็นไปได้ว่าที่ท่านได้รับริซกีนั้นเป็นเพราะเขา’”

กระทั่งเศาะหาบะฮ์บางคนก็ยังรู้สึกเช่นนี้ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องปกติที่คนทั่วไปจะมองได้ในเชิงรูปธรรม คนหนึ่งทำงานเพื่อให้มีกิน อีกคนมีกินโดยไม่ได้ทำงานเลยเอาแต่เรียนศาสนา เท่ากับว่าคนที่ทำงานนั้นต้องทำเผื่ออีกคนอยู่เสมอเพื่อให้ทั้งคู่มีกินมีใช้อย่างพอเพียง 

แต่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ชี้แนะให้ประชาชาติของท่านให้มองในมุมอื่นด้วย จริงอยู่ว่าการลงมือลงแรงทำมาหากินนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้มีกินมีใช้ แต่มันมิใช่ทั้งหมด ดังที่เราได้เขียนไปแล้วหลายต่อหลายตอนซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่หากมองเชิงรูปธรรมนั้นไม่ได้เกี่ยวกับการได้รับปัจจัยยังชีพเลยแต่อัลลอฮ์และเราะสูลยืนยันว่ามันเกี่ยวเราจึงเชื่อมั่นเช่นนั้น การที่มีคนหนึ่งเรียนศาสนาแล้วเราช่วยเหลือเขาก็เป็นหนึ่งในปัจจัยเหล่านั้นเช่นกัน ซึ่งท่านนบีได้ยืนยันเอาไว้ว่า ‘เป็นไปได้ว่าริซกีที่เราได้รับนั้นเป็นเพราะคนที่เรียนศาสนานั่นเอง’

มุลลา อะลี อัลกอรี อธิบายคำกล่าวที่ว่า “เป็นไปได้ว่าที่รับริซกีก็เพราะเขา” ว่าหมายถึง ‘ฉันหวังหรือเกรงว่าที่ท่านได้รับปัจจัยยังชีพนั้นเป็นเพราะความจำเริญจากเขา หาใช่ว่าเขาได้กินใช้ก็เนื่องจากเรี่ยวแรงของท่าน ดังนั้นจงอย่าคิดว่าเขาติดหนี้บุญคุณท่าน” (มิรกอตุลมะฟาตีห์)

อับดุลลอฮ์ อิบนุลมุบาร็อก หนึ่งในปราชญ์ยุคสลัฟซึ่งมีฐานะร่ำรวย ท่านจะให้ทาน (เศาะดะเกาะฮ์) ของท่านแก่ผู้แสวงหาความรู้เท่านั้น เมื่อคนถามท่านว่า ‘ทำไมท่านจึงไม่ขยับขยาย (ทานของท่านให้คนอื่นๆ) บ้างล่ะ?’ ท่านตอบว่า ‘ฉันไม่รู้ว่าจะมีตำแหน่งใดถัดจากตำแหน่งนบี ที่จะมีเกียรติมากไปกว่าสถานะของผู้รู้ ดังนั้นหากคนใดในหมู่พวกเขาจะต้องหาเลี้ยงตัวเอง เขาก็จะไม่มีเวลาสำหรับความรู้หรือไม่สามารถสอนคนอื่นได้ ฉะนั้นการให้เวลาพวกเขาเรียนและสอนศาสนานั้นย่อมเป็นการดีกว่า (ที่จะให้ทานแก่คนอื่นที่ไม่ได้เรียนหรือสอนความรู้ศาสนา)’

ลองจินตนาการว่าไม่มีคนเรียนศาสนาเพราะกลัวไม่มีความรู้มาทำมาหากิน คนที่จบศาสนาก็ไม่สอนศาสนาเพราะต้องไปทำมาหาเลี้ยงตนเองและครอบครัว แล้วใครจะเป็นผู้สืบสานงานดะอฺวะฮ์ของท่านนบีได้อีก?

#สหกรณ์อิสลามอมานะฮฺ เพื่อชีวิตที่ใกล้ชิดหลักการ

Leave a comment