“หาได้เท่าไหร่ ไม่สำคัญเท่าเหลือไหร่”
วันนี้เราจะลองมาใคร่ครวญประโยคข้างต้น
ผ่านตัวอย่างของอะห์มัดและมะห์มูดกันครับ
อะห์มัด หาเงินได้เดือนละ 50,000 บาท
แต่ใช้จนหมดไม่มีเหลือ
มะห์มูด หาเงินได้เดือนละ 15,000 บาท
แต่เหลือออมเดือนละ 5,000 บาท
หากทั้ง 2 คนเกษียณจากการทำงานเมื่อผ่านไป 20 ปี
อะห์มัดจะหาเงินได้ทั้งหมด 12,000,000 บาท
และใช้จนหมดเกลี้ยง เหลือเงินเก็บ 0 บาท
ส่วนมะห์มูดจะหาะเงินได้ 3,600,000 บาท
แต่ใช้ไปเพียง 2,400,000 บาท
เหลือเงินเก็บ 1,200,000 บาท
สมมุติว่าหลังเกษียณทั้งสองคนไม่มีรายได้จากช่องทางอื่นอีกแล้ว
อะห์มัดที่เคยมือเติบมีกำลังซื้อมากกว่ามะห์มูดหลายเท่ามา 20 ปี
แต่ตอนนี้กลับไม่มีเงินใช้สักแดงเดียว
เขาจะใช้ชีวิตอย่างไร ?
ส่วนมะห์มูดที่มีกำลังซื้อน้อยกว่ามาตลอดเพราะแบ่งส่วนหนึ่งไว้ออม
ณ ตอนนี้เขาจะเหลือเงินใช้อีก 1.2 ล้านบาท
ถ้าตามสถิติรายจ่ายเดือนละ 10,000 บาท
เขาจะใช้ได้อีก 120 เดือนหรือ 10 ปี !
นี่แหละครับตำราทางการเงินจำนวนไม่น้อยจึงเน้นย้ำว่า
“หาได้เท่าไหร่ไม่สำคัญเท่าเหลือเท่าไหร่”
เพราะมันจะกลายเป็นเสบียงในอนาคตของเราครับ
เรื่องผลบุญก็เช่นเดียวกันครับ…
ทำไว้ได้เท่าไหร่ ไม่สำคัญว่าเหลือเท่าไหร่
เพราะในวันแห่งการตัดสิน
หากเรามีคดีความกับคนอื่น
ได้ละเมิดสิทธิทางร่างกาย จิตใจ
ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของเขาเอาไว้
วันนั้นเราต้องจ่ายด้วยผลบุญของเราครับ
ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าเราจะมีผลบุญไปเท่าไหร่
และรายจ่ายผลบุญของเราในวันนั้น
จะมากล้นจนทำให้เราล้มละลายหรือไม่
ขออัลลอฮ์ให้เรารักษาทรัพย์สินและผลบุญของเราได้อย่างดีและรอดพ้นจากการสิ้นเนื้อประดาตัวทั้งในโลกนี้และโลกหน้าด้วยเถิด อามีน
